บันทึกเรื่อง สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น นี้หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ได้ทรงนิพนธ์ไว้จบสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2486 ด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งไม่เป็นที่ปรากฏบันทึกเรื่องนี้กลับมิได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ออกสู่สาธารณชนในช่วงเวลานั้นหรือแม้ในระยะหลังต่อมาในช่วงชีวิตของท่านผู้ทรงนิพนธ์หากยังคงอยู่ในสภาพของต้นฉบับมาจนกระทั่งปี 2542ซึ่งนับเป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษแต่ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรข้อหนึ่งที่เห็นได้จากต้นฉบับคือ หลังจากที่ได้ทรงตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วก็มิได้ทรงหวนมาแตะต้องแก้ไขอีกเลยภาระในการจัดตรวจทานต้นฉบับอีกครั้งเพื่อการจัดพิมพ์ในปี 2542จึงเป็นของท่านผู้ที่มีส่วนสำคัญยิ่งในการทำให้บันทึกสำคัญเรื่องนี้ได้เผยแพร่ออกมาสู่ผู้อ่านนั่นก็คือ ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุลผู้ที่ได้อ่านบันทึก สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ทุกท่านไม่ว่าจะมีทัศนะอย่างไร ก็คงเห็นตรงกันอย่างหนึ่งว่าบันทึกเรื่องนี้น่าอ่านอย่างยิ่งที่ว่าน่าอ่านนั้น ไม่ใช่แต่เพียงสำนวนโวหารหรือความตรงไปตรงมาของผู้ทรงนิพนธ์หากยังอยู่ที่เรื่องที่ทรงนำมาเล่าด้วย
บันทึกเรื่อง สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น นี้หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ได้ทรงนิพนธ์ไว้จบสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2486 ด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งไม่เป็นที่ปรากฏบันทึกเรื่องนี้กลับมิได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ออกสู่สาธารณชนในช่วงเวลานั้นหรือแม้ในระยะหลังต่อมาในช่วงชีวิตของท่านผู้ทรงนิพนธ์หากยังคงอยู่ในสภาพของต้นฉบับมาจนกระทั่งปี 2542ซึ่งนับเป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษแต่ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรข้อหนึ่งที่เห็นได้จากต้นฉบับคือ หลังจากที่ได้ทรงตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วก็มิได้ทรงหวนมาแตะต้องแก้ไขอีกเลยภาระในการจัดตรวจทานต้นฉบับอีกครั้งเพื่อการจัดพิมพ์ในปี 2542จึงเป็นของท่านผู้ที่มีส่วนสำคัญยิ่งในการทำให้บันทึกสำคัญเรื่องนี้ได้เผยแพร่ออกมาสู่ผู้อ่านนั่นก็คือ ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุลผู้ที่ได้อ่านบันทึก สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ทุกท่านไม่ว่าจะมีทัศนะอย่างไร ก็คงเห็นตรงกันอย่างหนึ่งว่าบันทึกเรื่องนี้น่าอ่านอย่างยิ่งที่ว่าน่าอ่านนั้น ไม่ใช่แต่เพียงสำนวนโวหารหรือความตรงไปตรงมาของผู้ทรงนิพนธ์หากยังอยู่ที่เรื่องที่ทรงนำมาเล่าด้วย